ผลงานรางวัลเรื่องและภาพดีเด่น Osotho club to
the regions Surin
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
ถึง…ชาวดินและแม่
ถึง…ชาวดินและแม่
พ่อคิดแล้วคิดอีกหลายรอบเพราะกลัวลูกจะเสียใจ
ในที่สุดจึงตัดสินใจบอกกับชาวดิน ว่าขอห่างหายไปทำภารกิจที่ติดค้างในใจสักสองสามวัน
ขอโอกาสวันว่างเปิดกะลาความคิดด้วยการนั่งฟังเสียงจากผู้รู้ท่านอื่นบ้าง
ปีแรกที่พ่อทราบข่าวการอบรมจากโครงการของ อ.ส.ท.พ่อรู้สึกดีใจและตั้งใจว่าจะไปให้ได้
แต่ตัดใจทิ้งกิจกรรมของตัวเองไว้ก่อน เมื่อลูกบอกว่าอยากให้อยู่ร่วมกิจกรรมกีฬาครั้งแรกในชีวิตของชาวดิน
อย่างน้อยในวันที่ลูกแพ้หรือชนะมีพ่อยืนอยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเสมอ นี่คือหน้าที่ที่พ่ออยากบันทึกไว้ในช่วงเหตุการณ์สำคัญของลูก
ปีถัดมาพ่อไม่อยากให้ชาวดินขาดเรียนโดยไม่จำเป็น
จึงทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยวรับส่งลูกตามปรกติ
ปีนี้ถ้าไม่ติดกับลูกขอเต้นในงานวันคริสต์มาสที่โรงเรียนอย่างที่ลูกฝันและตั้งใจ
พ่ออยากชวนแม่กับชาวดินมาเที่ยวเมืองช้างด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่พ่อห่างลูกหลาย ๆ วัน
ขณะอยู่บนรถอาการป่วยของพ่อมีท่าทีหนักขึ้น ไอ จามแรงเสียงดังจนเกรงใจผู้โดยสารคนอื่น
ๆ บนรถทัวร์หัวหินปลายทางสุรินทร์ที่ทำการจองไว้ล่วงหน้า
เมื่อถึงที่พักในรุ่งเช้าหลังชำระร่างกายแล้วรีบย่างเท้าก่อนเจ็ดโมงไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์
วันนี้ที่นี่มีจัดการอบรมภาคทฤษฎีทั้งวันเลยเชียว แต่ก็สนุกมาก
ถึงตอนนี้พ่อจำประโยคที่ชาวดินถามขึ้นมาได้
“พ่อนิสัยไม่ดีเหรอถึงถูกอบรม” เด็ก ๔ ขวบกว่ามีคำถามอย่างนี้ด้วยเหรอครับ
ลูกไปจำมาจากไหน พ่อสงสัย แอบมานั่งคิดได้ก็ตอนที่ถูกอบรมอยู่ในหอประชุมนี่ล่ะ
แล้วใบหน้ายียวนกวนประสาทของชาวดินก็ลอยขึ้นมาในห้วงเวลาที่ความคิดถึงของพ่อกำลังเดินทางไกลไปหาชาวดินกับแม่
แว่บหนึ่งพ่อก็คิดถึงนักกวีโบราณที่ชอบร่ายคำเป็นบทกวีซาบซึ้งใจยามห่างไกลจากบุคคลอันเป็นที่รัก
ด้วยบทนิราศกับสถานที่ที่เดินทางไปถึง เอ หรืออาจจะเกิดอาการหลอนจากฤทธิ์ยาที่พ่อกินเข้าไปหลายขนาน
เอาเป็นว่าคืนนี้พ่อขอตัวกินยาเข้านอนก่อนดีกว่า
เพราะพรุ่งนี้เช้ามีภาคสนามทั้งวัน ประสบ พบเจอ
หรือประทับใจกับเหตุการณ์อะไรบ้างไว้พ่อจะเล่าให้ฟัง
๐๗.๐๐ นาฬิกา ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ วัดป่าอาเจียง อำเภอท่าตูม
“บัวบาน”คือช้างน้อยหรือช้างเด็กผู้น่ารัก
ทำหน้าที่ฝ่ายต้อนรับนักท่องเที่ยว ถ้าชาวดินมาด้วยคงจะชอบในความน่ารัก กิน เล่น
สนุกสมวัย บัวบานเป็นคนโปรด เอ ไม่ใช่สิ เป็นช้างโปรดของท่านเจ้าอาวาส
อดีตของท่านเคยทำหน้าที่ควาญช้างซึ่งหันเหชีวิตสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร์
ก่อนหน้าท่านสะสมกระดูกช้างไว้มาก
ช้างเหล่านั้นคืออดีตช้างศึกรบเคียงบ่าเคียงไหล่รักษาบ้านเมืองตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
บางส่วนได้รับมาจากชาวบ้านและส่วนหนึ่งจากท่านเกษมศักดิ์ แสนโภชน์
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ในขณะนั้น จึงได้ดำริจัดหาสถานที่จัดเก็บกระดูกช้าง
เป็นที่มาของสุสานช้างในวัดแห่งนี้นี่เอง หลุมบรรจุกระดูกช้างในสุสานจึงทำเป็นรูปหมวกนักรบสมัยโบราณ
เรามีโอกาสแวะเยี่ยมชมหมู่บ้านช้างตากลาง
พื้นที่แห่งนี้เป็นที่นาและป่าละเมาะสลับกับป่าโปร่งเหมาะกับการเลี้ยงช้างเป็นอย่างยิ่ง
ศูนย์คชศึกษาหรือหมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง อำเภอท่าตูม
จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสืบทอดประเพณี วัฒนธรรมตามวิถีดั้งเดิมของชาวบ้านที่นี่
ชาวส่วย กูย หรือกวยมีความชำนาญในการคล้องช้างป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ
แต่ละครอบครัวจะมีช้างที่เลี้ยงและฝึกจนเชื่อง
ช้างที่เลี้ยงไว้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ก่อเกิดสายใยที่แน่นแฟ้นระหว่างคนกับช้าง
เรียกว่ากินนอนร่วมชายคาเดียวกับคนเลยทีเดียว
วิถีกินอยู่ของชาวบ้านทำอาชีพเกษตรสอดคล้องกับช้าง ทาง อบจ. ส่งเสริมจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวละ
๒ ไร่เพื่อปลูกหญ้าไว้เป็นอาหารสำหรับช้าง
ช้างแต่ละตัวจะกินอาหาร
๑๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ใช้เวลาในการกินรวม ๒๐ ชั่วโมงต่อวัน ใช้เวลาที่เหลือ
๔ ชั่วโมงสำหรับนอน
ช้างตัวเมียหรือช้างพังเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ตั้งท้องยาวนานถึง ๒๒ เดือน
หลังคลอดลูกประมาณ ๑ ปีหรือหลังลูกหย่านม แม่ช้างจึงจะพร้อมผสมพันธุ์อีกครั้ง
ช้างพลายหรือช้างเพศผู้งาจะงอกยาวปีละ ๒๐ เซ็นติเมตร บางตัวจำเป็นต้องตัดงาเพราะกลัวงาจะถูกขโมย
บางตัวต้องตัดงาเพราะงายาวเกินจำเป็น ไม่เหมาะสมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีชีวิตมหัศจรรย์ระหว่างชุมชนกับช้างที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
หากอยากใช้บริการนั่งช้างชมหมู่บ้านก็มีบริการ หรืออยากพักผ่อนใช้เวลาอยู่กับช้างสัมผัสวิถีชีวิตนาน
ๆ ก็มีโฮมเสตย์ให้บริการอีกด้วย
๑๓.๓๐/ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ กลุ่มจันทรโสมาผ้ายกทอง บ้านท่าสว่าง
เมืองสุรินทร์
แดดบ่ายทำหน้าที่ได้ดีเหนือฤดูหนาว
เราปลดเป้และสัมภาระอื่นวางลงใต้ร่มไม้ นั่งผ่อนคลายนิ่ง ๆกวาดสายตารอบ ๆ ขณะฟังประชาสัมพันธ์อธิบายถึงที่มา
หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทอง”จันทรโสมา” บ้านท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์
พื้นที่เป็นหมู่บ้านเรือนไทยหลายหลังหลบตัวอยู่หลังแมกไม้
กลุ่มทอผ้าไหมยกทองได้รับการส่งเสริมอนุรักษ์จากมูลนิธิในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถ
สำนักพระราชวัง
การทอผ้าไหมด้วยวิธีพิเศษแตกต่างจากการทอธรรมดาทั่วไป
ที่เรียกว่ายกทองนั้นสร้างความโดดเด่นให้ผืนผ้ากว่าผ้าไหมทั่วไป
โดยเริ่มจากการเลือกเส้นไหมที่เล็กบางเบา นำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้ม
ต่อจากนั้นนำไปย้อมสีด้วยแม่สี ๓ สีหลักจากธรรมชาติ สีแดงจากครั่ง
สีเหลืองจากแก่นแกแล สีครามจากเมล็ดคราม
หลังจากนั้นสอดแทรกดอกด้วยไหมทองกับเส้นด้าย ก่อนนำไปทอ
ขั้นตอนการทอผ้าไหมยกทองนั้นต้องใช้ตะกอในการทอ ตะกอคือตัวทำให้ลวดลายบนผ้ามีมิติ
โดยใช้คนทอ ๔-๕ คน คือคนช่วยยกตะกอ ๒-๓ คน คนสอดไม้ ๑ คน และคนทออีก ๑ คน
ทอได้เพียงวันละ ๖-๗ เซ็นติเมตรเท่านั้น
การทอต้องเทคนิคซับซ้อนเฉพาะตัว
ทอจนเกิดผืนผ้าที่มีลวดลายแตกต่างกัน เช่น ลายเทพนม ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุดนาค
ฯลฯ แค่ฟังชื่อยังไพเราะเพราะพริ้งขนาดนี้
ส่วนขั้นตอนในการทอจะยุ่งยากมากเรื่องขนาดไหนหนอ เราได้แต่คิดในใจ ลวดลายที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนั้นเป็นจุดเด่นของที่นี่
ซึ่งเกิดจากการฟื้นฟูและอนุรักษ์ผ้ายกทองชั้นสูงแบบโบราณ ยังไม่พอ
ทางกลุ่มได้นำลายโบราณผสานกับลายผ้าพื้นเมืองสุรินทร์ จากมันสมองในการคิดลวดลาย บวกกับสองมือและอีกหลาย
ๆ ใจที่มีความเพียรพยายาม จนผลงานของกลุ่มมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย
จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมมอบให้กับผู้นำเอเปคเมื่อมีการประชุมกลุ่มผู้นำในปี
พ.ศ. ๒๕๔๖ กลุ่มทอผ้ายกทองจันทรโสมา บ้านท่าสว่าง จึงกลายเป็นแหล่งซื้อขายผ้าไหมขึ้นชื่อของจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นมา
๑๕.๓๐ นาฬิกา ท่องปราสาทยามเย็นย่ำ เห็นแสงสีผีตากผ้าอ้อม
เย็นย่ำเรามีเวลาชมปราสาทที่ได้รับอิทธิพลจากขอม
เริ่มจากวนอุทยานพนมสวาย ตั้งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย
ท้องที่ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์
พนมสวายในความเป็นจริงคือภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วจึงมีลานหินกระจายไปทั่ว
ประกอบไปด้วยภูเขาสามลูก
เราได้เดินชมเฉพาะพนมเปราะ
(ยอดเขาชาย) เป็นที่ตั้งของวัดพนมสวาย มีบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นถึงวัด
ระหว่างทางมีระฆังเรียงรายจำนวน ๑,๐๘๐ใบ ระฆังหนึ่งใบมีผู้บริจาคแทนวัดหนึ่งแห่ง
ซึ่งเท่ากับว่าวัดในจังหวัดสุรินทร์มีมากถึง ๑,๐๘๐ วัด บนยอดเขาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล
เป็นพระพุทธรูปสีขาวปางประทานพร เรามีเวลาไม่มากจึงรีบเดินทางต่อไปยังปราสาทศีขรภูมิ
อำเภอศีขรภูมิ
เพื่อเก็บภาพความทรงจำยามเย็นไว้เป็นภาพประทับในความทรงจำกับการมาเยือนสุรินทร์เป็นครั้งแรก
สุดท้ายพ่อรำพึงกับตัวเองเบา ๆ ว่าวันหน้าจะพาชาวดินกับแม่มาเที่ยวพร้อมหน้ากันสามคน
พ่อ แม่ ลูก เราจะมากันแบบครอบครัว ที่ไม่ต้องห่วงใยใคร ไม่ต้องคิดถึงคนที่อยู่ไกล
เพราะอยากให้ทุกการเดินทางเราได้อยู่ใกล้กันตลอดเวลา