Monday, January 15, 2018

โดดเดี่ยววันเดียวเที่ยวเมืองช้าง

สหธรณ ลิ่นบาง เรื่องและภาพ
ผลงานรางวัลเรื่องและภาพดีเด่น Osotho club to the regions Surin
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
ถึง…ชาวดินและแม่
พ่อคิดแล้วคิดอีกหลายรอบเพราะกลัวลูกจะเสียใจ ในที่สุดจึงตัดสินใจบอกกับชาวดิน ว่าขอห่างหายไปทำภารกิจที่ติดค้างในใจสักสองสามวัน ขอโอกาสวันว่างเปิดกะลาความคิดด้วยการนั่งฟังเสียงจากผู้รู้ท่านอื่นบ้าง ปีแรกที่พ่อทราบข่าวการอบรมจากโครงการของ อ.ส.ท.พ่อรู้สึกดีใจและตั้งใจว่าจะไปให้ได้ แต่ตัดใจทิ้งกิจกรรมของตัวเองไว้ก่อน เมื่อลูกบอกว่าอยากให้อยู่ร่วมกิจกรรมกีฬาครั้งแรกในชีวิตของชาวดิน อย่างน้อยในวันที่ลูกแพ้หรือชนะมีพ่อยืนอยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเสมอ นี่คือหน้าที่ที่พ่ออยากบันทึกไว้ในช่วงเหตุการณ์สำคัญของลูก
ปีถัดมาพ่อไม่อยากให้ชาวดินขาดเรียนโดยไม่จำเป็น จึงทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยวรับส่งลูกตามปรกติ ปีนี้ถ้าไม่ติดกับลูกขอเต้นในงานวันคริสต์มาสที่โรงเรียนอย่างที่ลูกฝันและตั้งใจ พ่ออยากชวนแม่กับชาวดินมาเที่ยวเมืองช้างด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่พ่อห่างลูกหลาย ๆ วัน ขณะอยู่บนรถอาการป่วยของพ่อมีท่าทีหนักขึ้น ไอ จามแรงเสียงดังจนเกรงใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถทัวร์หัวหินปลายทางสุรินทร์ที่ทำการจองไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงที่พักในรุ่งเช้าหลังชำระร่างกายแล้วรีบย่างเท้าก่อนเจ็ดโมงไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ วันนี้ที่นี่มีจัดการอบรมภาคทฤษฎีทั้งวันเลยเชียว แต่ก็สนุกมาก
ถึงตอนนี้พ่อจำประโยคที่ชาวดินถามขึ้นมาได้ “พ่อนิสัยไม่ดีเหรอถึงถูกอบรม” เด็ก ๔ ขวบกว่ามีคำถามอย่างนี้ด้วยเหรอครับ ลูกไปจำมาจากไหน พ่อสงสัย แอบมานั่งคิดได้ก็ตอนที่ถูกอบรมอยู่ในหอประชุมนี่ล่ะ แล้วใบหน้ายียวนกวนประสาทของชาวดินก็ลอยขึ้นมาในห้วงเวลาที่ความคิดถึงของพ่อกำลังเดินทางไกลไปหาชาวดินกับแม่ แว่บหนึ่งพ่อก็คิดถึงนักกวีโบราณที่ชอบร่ายคำเป็นบทกวีซาบซึ้งใจยามห่างไกลจากบุคคลอันเป็นที่รัก ด้วยบทนิราศกับสถานที่ที่เดินทางไปถึง เอ หรืออาจจะเกิดอาการหลอนจากฤทธิ์ยาที่พ่อกินเข้าไปหลายขนาน เอาเป็นว่าคืนนี้พ่อขอตัวกินยาเข้านอนก่อนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เช้ามีภาคสนามทั้งวัน ประสบ พบเจอ หรือประทับใจกับเหตุการณ์อะไรบ้างไว้พ่อจะเล่าให้ฟัง
๐๗.๐๐ นาฬิกา ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ วัดป่าอาเจียง อำเภอท่าตูม
บัวบาน”คือช้างน้อยหรือช้างเด็กผู้น่ารัก ทำหน้าที่ฝ่ายต้อนรับนักท่องเที่ยว ถ้าชาวดินมาด้วยคงจะชอบในความน่ารัก กิน เล่น สนุกสมวัย บัวบานเป็นคนโปรด เอ ไม่ใช่สิ เป็นช้างโปรดของท่านเจ้าอาวาส อดีตของท่านเคยทำหน้าที่ควาญช้างซึ่งหันเหชีวิตสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ก่อนหน้าท่านสะสมกระดูกช้างไว้มาก ช้างเหล่านั้นคืออดีตช้างศึกรบเคียงบ่าเคียงไหล่รักษาบ้านเมืองตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช บางส่วนได้รับมาจากชาวบ้านและส่วนหนึ่งจากท่านเกษมศักดิ์ แสนโภชน์ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ในขณะนั้น จึงได้ดำริจัดหาสถานที่จัดเก็บกระดูกช้าง เป็นที่มาของสุสานช้างในวัดแห่งนี้นี่เอง หลุมบรรจุกระดูกช้างในสุสานจึงทำเป็นรูปหมวกนักรบสมัยโบราณ
เรามีโอกาสแวะเยี่ยมชมหมู่บ้านช้างตากลาง พื้นที่แห่งนี้เป็นที่นาและป่าละเมาะสลับกับป่าโปร่งเหมาะกับการเลี้ยงช้างเป็นอย่างยิ่ง ศูนย์คชศึกษาหรือหมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง อำเภอท่าตูม จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสืบทอดประเพณี วัฒนธรรมตามวิถีดั้งเดิมของชาวบ้านที่นี่ ชาวส่วย กูย หรือกวยมีความชำนาญในการคล้องช้างป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ละครอบครัวจะมีช้างที่เลี้ยงและฝึกจนเชื่อง ช้างที่เลี้ยงไว้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ก่อเกิดสายใยที่แน่นแฟ้นระหว่างคนกับช้าง เรียกว่ากินนอนร่วมชายคาเดียวกับคนเลยทีเดียว วิถีกินอยู่ของชาวบ้านทำอาชีพเกษตรสอดคล้องกับช้าง ทาง อบจ. ส่งเสริมจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวละ ๒ ไร่เพื่อปลูกหญ้าไว้เป็นอาหารสำหรับช้าง
ช้างแต่ละตัวจะกินอาหาร ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ใช้เวลาในการกินรวม ๒๐ ชั่วโมงต่อวัน ใช้เวลาที่เหลือ ๔ ชั่วโมงสำหรับนอน ช้างตัวเมียหรือช้างพังเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ตั้งท้องยาวนานถึง ๒๒ เดือน หลังคลอดลูกประมาณ ๑ ปีหรือหลังลูกหย่านม แม่ช้างจึงจะพร้อมผสมพันธุ์อีกครั้ง ช้างพลายหรือช้างเพศผู้งาจะงอกยาวปีละ ๒๐ เซ็นติเมตร บางตัวจำเป็นต้องตัดงาเพราะกลัวงาจะถูกขโมย บางตัวต้องตัดงาเพราะงายาวเกินจำเป็น ไม่เหมาะสมในการดำเนินชีวิตประจำวัน นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีชีวิตมหัศจรรย์ระหว่างชุมชนกับช้างที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หากอยากใช้บริการนั่งช้างชมหมู่บ้านก็มีบริการ หรืออยากพักผ่อนใช้เวลาอยู่กับช้างสัมผัสวิถีชีวิตนาน ๆ ก็มีโฮมเสตย์ให้บริการอีกด้วย
๑๓.๓๐/ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ กลุ่มจันทรโสมาผ้ายกทอง บ้านท่าสว่าง เมืองสุรินทร์
แดดบ่ายทำหน้าที่ได้ดีเหนือฤดูหนาว เราปลดเป้และสัมภาระอื่นวางลงใต้ร่มไม้ นั่งผ่อนคลายนิ่ง ๆกวาดสายตารอบ ๆ ขณะฟังประชาสัมพันธ์อธิบายถึงที่มา หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทอง”จันทรโสมา” บ้านท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ พื้นที่เป็นหมู่บ้านเรือนไทยหลายหลังหลบตัวอยู่หลังแมกไม้ กลุ่มทอผ้าไหมยกทองได้รับการส่งเสริมอนุรักษ์จากมูลนิธิในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถ สำนักพระราชวัง
การทอผ้าไหมด้วยวิธีพิเศษแตกต่างจากการทอธรรมดาทั่วไป ที่เรียกว่ายกทองนั้นสร้างความโดดเด่นให้ผืนผ้ากว่าผ้าไหมทั่วไป โดยเริ่มจากการเลือกเส้นไหมที่เล็กบางเบา นำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้ม ต่อจากนั้นนำไปย้อมสีด้วยแม่สี ๓ สีหลักจากธรรมชาติ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล สีครามจากเมล็ดคราม หลังจากนั้นสอดแทรกดอกด้วยไหมทองกับเส้นด้าย ก่อนนำไปทอ ขั้นตอนการทอผ้าไหมยกทองนั้นต้องใช้ตะกอในการทอ ตะกอคือตัวทำให้ลวดลายบนผ้ามีมิติ โดยใช้คนทอ ๔-๕ คน คือคนช่วยยกตะกอ ๒-๓ คน คนสอดไม้ ๑ คน และคนทออีก ๑ คน ทอได้เพียงวันละ ๖-๗ เซ็นติเมตรเท่านั้น
การทอต้องเทคนิคซับซ้อนเฉพาะตัว ทอจนเกิดผืนผ้าที่มีลวดลายแตกต่างกัน เช่น ลายเทพนม ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุดนาค ฯลฯ แค่ฟังชื่อยังไพเราะเพราะพริ้งขนาดนี้ ส่วนขั้นตอนในการทอจะยุ่งยากมากเรื่องขนาดไหนหนอ เราได้แต่คิดในใจ ลวดลายที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนั้นเป็นจุดเด่นของที่นี่ ซึ่งเกิดจากการฟื้นฟูและอนุรักษ์ผ้ายกทองชั้นสูงแบบโบราณ ยังไม่พอ ทางกลุ่มได้นำลายโบราณผสานกับลายผ้าพื้นเมืองสุรินทร์  จากมันสมองในการคิดลวดลาย บวกกับสองมือและอีกหลาย ๆ ใจที่มีความเพียรพยายาม จนผลงานของกลุ่มมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมมอบให้กับผู้นำเอเปคเมื่อมีการประชุมกลุ่มผู้นำในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ กลุ่มทอผ้ายกทองจันทรโสมา บ้านท่าสว่าง จึงกลายเป็นแหล่งซื้อขายผ้าไหมขึ้นชื่อของจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่นั้นมา
๑๕.๓๐ นาฬิกา ท่องปราสาทยามเย็นย่ำ เห็นแสงสีผีตากผ้าอ้อม
เย็นย่ำเรามีเวลาชมปราสาทที่ได้รับอิทธิพลจากขอม เริ่มจากวนอุทยานพนมสวาย ตั้งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย ท้องที่ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์ พนมสวายในความเป็นจริงคือภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วจึงมีลานหินกระจายไปทั่ว ประกอบไปด้วยภูเขาสามลูก 
เราได้เดินชมเฉพาะพนมเปราะ (ยอดเขาชาย) เป็นที่ตั้งของวัดพนมสวาย มีบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นถึงวัด ระหว่างทางมีระฆังเรียงรายจำนวน ๑,๐๘๐ใบ ระฆังหนึ่งใบมีผู้บริจาคแทนวัดหนึ่งแห่ง ซึ่งเท่ากับว่าวัดในจังหวัดสุรินทร์มีมากถึง ๑,๐๘๐ วัด บนยอดเขาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล เป็นพระพุทธรูปสีขาวปางประทานพร เรามีเวลาไม่มากจึงรีบเดินทางต่อไปยังปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ เพื่อเก็บภาพความทรงจำยามเย็นไว้เป็นภาพประทับในความทรงจำกับการมาเยือนสุรินทร์เป็นครั้งแรก
            สุดท้ายพ่อรำพึงกับตัวเองเบา ๆ ว่าวันหน้าจะพาชาวดินกับแม่มาเที่ยวพร้อมหน้ากันสามคน พ่อ แม่ ลูก เราจะมากันแบบครอบครัว ที่ไม่ต้องห่วงใยใคร ไม่ต้องคิดถึงคนที่อยู่ไกล เพราะอยากให้ทุกการเดินทางเราได้อยู่ใกล้กันตลอดเวลา


Friday, December 29, 2017

ความตายมิอาจพราก


เทพประทาน เหมเมือง...เรื่อง
(รางวัลผลงานเนื้อหาดีเด่น Osotho club to the regions Surin)

๒๘ ปีที่แล้วฉันเคยมีผัวเป็นหนุ่มกูย ความสัมพันธ์จบลงไม่สวย แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย เราห่างกันไปตามทางของตัวเอง จนมาวันนี้ฉันเพิ่งรู้ ว่าตัวเองโง่ที่สุด ที่ได้ทำร้ายจิตใจเพื่อนรักไปอย่างเลือดเย็นและก็ไม่มีวันได้ขอโทษเขา...ไปตลอดกาล
หนุ่มอีสานใต้มีเสน่ห์ไม่เหมือนหนุ่มไทยภาคอื่น ๆ ตรงความซื่อ ขี้อายและถ่อมตัว มันเป็นจริตติดตัวมาโดยธรรมชาติ แต่สิ่งที่โดดเด่นอย่างหนึ่งคือสัญชาตญาณของนักสู้ พวกเขามีทักษะการเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่ลำบากยากแค้นได้อย่างน่าทึ่ง
พลเป็นเพื่อนชาวกูยคนแรกและคนเดียวในชีวิตของฉัน บ้านเกิดพลอยู่ที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เราเจอกันตอนเป็นนิสิตสัตวบาลปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยย่านบางเขน เขาอาสาถีบจักรยานมาส่งฉันที่หอทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาชอบฉันหรอก อย่ามโน แต่เราไปทางเดียวกัน แค่หอฉันถึงก่อน และเขาก็เป็นคนมีน้ำใจ
พลเกิดที่บ้านหนองบัวเป็นหมู่บ้านคนเลี้ยงช้าง ชาวกูยจะมีธรรมเนียมการตั้งชื่อหลานชายคนโตตามชื่อปู่ เป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาเพื่อไม่ให้ลืมบรรพบุรุษของตัวเอง แต่เชื่อมั้ย ฉันจำชื่อจริงของพลไม่ได้ คลับคล้ายคลับคลาว่ามีความหมายที่ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ ฉันชอบรอยยิ้มของเขา เราเข้ากันได้ดีเพราะรักสัตว์ ฉันชอบหมาและพลรักช้าง
กลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือกวย เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนี้มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับช้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ว่าจะหันไปทางไหนสืบไปสืบมาก็เกี่ยวข้องโยงใยไปถึงช้างได้เกือบหมด “กูยอะจึง” หรือกูยเลี้ยงช้าง เป็นกลุ่มชนที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมการจับช้าง ฝึกช้างและบังคับช้างโดยใช้ภาษาพิเศษที่มีมาตั้งแต่โบราณ
ชาวกูยพูดภาษาเดียวกันกับเขมรทางตอนเหนือ ๑๑ อำเภอ แต่ไม่มีภาษาเขียนของตัวเอง อย่างที่กำปงธมเวลานับเลข ๑-๑๐ ก็นับแบบเดียวกับกูย ส่วนภาษาเขมรนั้นนับได้แค่ ๑-๕ ที่เหลือต้องใช้คำเรียงกัน ชาวกูยและคนเขมรทางตอนเหนือเขาเรียกกันว่า “ขอม” กลุ่มชาติพันธุ์นี้ถนัดการควบคุมช้างมากและเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างปราสาทขอมต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรขอมสมัยนั้น รวมทั้งนครวัด นครธม
บรรพบุรุษกูยบนแผ่นดินไทยอพยพมาตามลุ่มน้ำมูล เหตุเพราะพวกเขาเดินทางด้วยช้างซึ่งกินจุมาก ต้องมีหญ้ามีน้ำตลอดเส้นทางเดิน พวกเขามาถึงบ้านหนองบัว ดินแดนสองลำน้ำแห่งนี้คือลำชี (ไม่ใช่แม่น้ำชี) กับแม่น้ำมูล แล้วปักหลักตั้งบ้านเรือนถิ่นฐานนานมาตั้งแต่ไทยกับกัมพูชายังไม่แยกอาณาเขตกัน
บ้านหนองบัวคือดินแดน ๓ อำเภอ ๒ จังหวัด ได้แก่อำเภอสะตึก ท่าตูมและชุมพลบุรี ซึ่งอยู่ในเขตของสุรินทร์และบุรีรัมย์ ชาวกูยชอบสีแดงและดำ อาจเป็นเพราะเป็นสีที่หาวัตถุดิบธรรมชาติย้อมได้ง่ายกว่าสีอื่น ๆ ที่นี่ยึดกรอบประเพณีและวิถีชีวิตที่เหนียวแน่นมากทั้งพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้างและครอบครัว
ลูกหลานจะเคารพบรรพบุรุษ มีการสืบญาติพี่น้องกันอย่างเคร่งครัด ใครลูกเต้าเหล่าใครต้องรู้จักกันหมด  ชาวกูยแต่งงานกับคนที่ไหนก็ได้ แต่ต้องพาคู่รักของตนเองมากราบบรรพบุรุษและบอกกล่าวญาติพี่น้องที่หมู่บ้านตัวเอง พลเคยพาฉันไปเที่ยวบ้าน ครั้งนั้นพ่อของพลคุยกับฉันว่า ไม่มีช้างให้ลูกชายเลย เพราะช้างที่เลี้ยงไว้ยังไม่ติดลูกสักที สงสัยคงต้องรอให้อาโอน (ชื่อเล่นพล) เอาเมียก่อน ฉันหน้าชาไป ๕ วิ
พลเป็นคนรูปหล่อ ผิวสีน้ำผึ้ง ไหล่เหมือนนักว่ายน้ำ หุ่นดี แข็งแรงมาก แตกต่างจากบรรพบุรุษดั้งเดิมที่เหมือนเงาะป่า ริมฝีปากหนา ตัวดำ (ชาติพันธุ์เดียวกับเงาะป่าซาไกทางปักษ์ใต้) เวลาฉันเดินไปไหนกันสองต่อสองกับพลมักจะมีชะนีและเก้งกวางชำเลืองมอง แล้วแอบทำปากมุบมิบเม้าท์กันเสมอ ทั้ง ๆ ที่ฉันสมัยนั้นยังไม่สาวแตกขนาดนี้ (ดูออกได้ไงไม่รู้)
เอาตรง ๆ ฉันน้อยใจพล ที่ไม่กล้าพูดแสดงความรู้สึก ว่าคิดกับฉันแบบไหน และทำไมต้องปิดบังครอบครัวถึงความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนของเรา พอถามบ่อย ๆ เข้า ก็หายหน้าไป จนฉันต้องประชดด้วยการหนีไปเที่ยวกับเพื่อนคนอื่นตามประสาวัยรุ่นใจร้อน เราห่างกันเรื่อย ๆ พลก็พูดน้อย จนต่างคนต่างเรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงาน เราจากกันแบบงง ๆ
ครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวพลคือปี ๒๕๔๗ จากหน้าหนึ่งไทยรัฐ พลถูกยิงตายที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ สืบความจากพ่อพลได้เรื่องว่า หลังจากพลได้เมีย  (ช้างก็ยังไม่ติดลูกนะ) พลจึงย้ายไปอยู่กับเมียที่กระสัง ไปทำธุรกิจผ้าไหมและลงการเมืองท้องถิ่น เหตุนี้เองที่ทำให้พลต้องจากไปก่อนวัยอันสมควร  
วันนี้เมื่อฉันได้มาเยือนบ้านหนองบัวอีกครั้ง มาเห็นวิถีชีวิตเรียบง่ายที่เคร่งครัดในธรรมเนียมและพบเจอกูยเจนมี (Gen Me) ที่มีความคิดแบบสมัยใหม่ ฉันจึงเข้าใจว่าทำไมพลจึงไม่กล้าแหกกฎ เพราะแม้ความรักมันจะยิ่งใหญ่แต่ไหนก็ตาม แต่การที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะยอมวัดดวงเรื่องส่วนตัวกับสังคมของตนเองนั้น มันไม่ง่ายเลย
ความรู้สึกมากมายแน่นอยู่เต็มอก ฉันมิกล้าแม้แต่จะเดินไปทักน้าชายของพลซึ่งจำฉันไม่ได้ และยิ่งกว่านั้น ตลอดการเดินทางไปสุรินทร์ครั้งนี้ คงไม่มีใครรู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของแต่ละคนหรอก อย่างตัวฉันอยากไปเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำอันแสนเจ็บปวด แต่กลับเจ็บยิ่งกว่าเมื่อได้เข้าใจวัฒนธรรมกูยและรู้ว่าเข้าใจพลผิดไป
ทุกสิ่งทุกอย่างดีงามลงตัวเหมาะสมกับสิ่งที่มันเป็นอยู่แล้ว ฉันเองที่โง่และไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจผู้อื่น มารู้อีกครั้งก็สายเกินไป เรื่องระหว่างฉันกับพล...ความรัก ความขาด ที่ช่วยกันเติมเต็มและความประทับใจที่เรามีให้กัน มันจะติดสมองฉันไปจนตาย หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกหากมีวาสนาร่วมกัน
ถ้าวิญญาณของพลยังอยู่ พลคงรู้ว่าน้อง ๆ ชาวกูยรุ่นใหม่รุ่นราวคราวกับลูกของเรา ได้ต้อนรับฉันอย่างดีในฐานะผู้มาเยือน พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแววตาดุดันทรงพลังแบบพล มีความคิดที่น่าสนใจ แต่ในเวอร์ชั่น ๒๐๒๐ ฉันได้เบอร์ ได้ไลน์ ของน้อง ๆ มาเรียบร้อยแล้ว ฉัน...ขอ...โทษ...อีกที 


Wednesday, September 21, 2016

จิตวิญญาณใน..หมูกระดาษ

 หมูกระดาษที่ป้าน้อยปรับรูปแบบจากที่คุณพ่อทำให้อ้วนขึ้น หน้าหวานขึ้น คล้ายการ์ตูน

ศตพร วานิชทวีวัฒน์... เรื่องและภาพ
รางวัลสร้างสรรค์เนื้อหาสารคดีดีเด่น ในโครงการ อ.ส.ท. to the regions# 5 ภูมิภาคภาคกลาง

            หมูกระดาษสีแดง” ความทรงจำในวัยเยาว์ ผุดขึ้นมาในใจ เมื่อเห็นหมูกระดาษสีแดงของป้าน้อยวางเรียงโชว์อยู่ ที่ร้านในซอยเล็กๆ ตรงข้ามสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนต์     ย้อนกลับไปเมื่อสัก ๕๐ ปีที่แล้ว เด็กๆ     คุณย่าซื้อหมูกระดาษตัวโตให้ฉันเป็นของเล่น หมูกระดาษยุคนั้นแข็งแรงพอที่เด็กๆวัยสามถึงห้าขวบขี่เล่นได้
            
             คุณย่ายังใช้เจ้าหมูกระดาษนี้แหละสอนการออมให้ฉัน เจ้าหมูตัวนี้ข้างในกลวงเจาะช่องไว้สำหรับหยอดเงิน  เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน และมีเงินค่าขนมเหลือ คุณย่าจะให้ฉันเอามาหยอดใส่กระปุกหมูกระดาษสีแดงตัวโปรดของฉัน   เมื่อเต็มเราก็จะผ่าท้องมัน เอามานับและเอาไปฝากธนาคารออมสิน

 ป้าน้อยสาธิตการขึ้นรูปหมูกระดาษ

"ป้าน้อย" หรือ ป้าธนธรณ์  ธงน้อย อายุ ๖๙ ปี ทำหมูกระดาษสืบทอดมาจากคุณพ่อ ป้าน้อยเล่าว่า คุณปู่อยากให้คุณพ่อรับราชการ แต่คุณพ่อมีใจรักในงานศิลปะมากกว่า ท่านเริ่มต้นจากการปั้นพระก่อน ต่อมาคุณพ่อป้าน้อย เห็นว่ากระดาษในยุคนั้นหาได้ง่าย จึงคิดประดิษฐ์หมูกระดาษ  ที่เลือกทำหมูสีแดง เพราะบ้านนี้อยู่ใกล้วัดประยูรวงศาวาส ยุคนั้นผู้คนชอบเอาหมูเป็นๆ มาปล่อยแก้บนที่วัดประยูรฯ และย่านนั้นก็มีคนจีนอยู่เยอะ หมูเป็นสัตว์มงคลของจีนหมายถึง ความสมบูรณ์ และ สีแดงก็ยังเป็นสีมงคลของจีน   คุณพ่อป้าน้อยประดิษฐ์หมูกระดาษสีแดงซึ่งทุกขั้นตอนทำด้วยมือ ขายดีมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน

 นอกจากหมูกระดาษแล้ว ป้าน้อยยังออกแบบเป็นเครื่องแขวน รูป เดือน ดาว และปลา

ป้าน้อยเล่าว่า หลังจากแต่งงานป้าน้อยก็ย้ายไปอยู่กับสามี เป็นช่างออกแบบเสื้อผ้า แต่ในที่สุดป้าก็กลับมาช่วยกิจการครอบครัว เพราะคุณพ่อ สั่งลูกๆไว้ว่า” อยากจะทำอะไรก็ไปทำตามใจปรารถนา หากไม่มีอะไรจะทำให้กลับมาทำหมูกระดาษกับพ่อนับแต่นั้นมาป้าน้อยก็ทำมาเรื่อยๆ หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็มีการปรับรูปแบบ เช่น หมูสมัยก่อนจะผอมกว่านี้ ตาก็จะเป็นตาชั้นเดียวเหมือนหมูจริง ป้าน้อย ก็ปรับให้หมูอวบขึ้น ตาหวานขึ้นเหมือนในการ์ตูน  นอกจากนั้น ยังมีแบบใหม่ๆ เช่น ยีราฟ เต่า พระจันทร์เสี้ยวทำเป็นเครื่องแขวน 

หากแต่จิตวิญญาณที่คุณพ่อฝากไว้กับป้าน้อยคือ การทำหมูออมสินกระดาษนั้น ห้ามไม่ให้ทำแบบที่สามารถเปิดออกได้ เพราะต้องการให้มีการออมให้เต็มจึงผ่าหมูออก หมูกระดาษมีราคาแพง หากไม่เต็มแล้วผ่าออก เจ้าของจะรู้สึกเสียดาย  หากออมจนเต็มแล้วค่อยผ่าออก จึงจะคุ้มค่า  ป้าน้อยบอกฉันว่าปัจจุบัน มีคนเคยมาสั่งให้ป้าทำแบบเปิดออกได้ที่ท้อง ป้าไม่รับทำ 

ป้ายังยึดมั่นคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ

สินค้าเปเปอร์มาเช่ รูปแบบต่างๆ จากร้านป้าน้อย 




Tuesday, September 20, 2016

แสงแดด สายลม ตกภวังค์


เจษฎา เพชรดาวงค์... เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง

แสงแดดเวลาใกล้เที่ยง ทำให้ผมอ่อนแรงจากการเดินถ่ายภาพแถบชุมชนกุฎีจีนเป็นยิ่งนัก ผ่านมาที่หน้าวัดซางตาครู้ส มีศาลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลังน้อย ต้องขอหลบเข้าไปนั่งพักเพื่อให้คลายความร้อนที่ระอุอยู่ในกาย ก่อนที่ลมแดดจะหอบพาให้หมดสติไปเสียก่อน
           
               “งามหนักนัก” ผมอุทานในใจ เมื่อเริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจศาลาทรงวิคทอเรียขนมปังขิง ที่มีจัตุรมุข ๔ ด้าน ลวดลายที่ฉลุลงบนไม้สักประดับหน้าจั่วและซุ้มประตู ช่างดูงดงามสมราคาฝีมือช่างเมื่อกว่าร้อยปีก่อนเป็นยิ่งนัก
                 

                
             อาการโอเวอร์ฮีทในกายเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ยังไม่ทันได้พักจากชื่นชมศิลปะงานไม้ฉลุ ก็ได้แว่วเสียงออร์แกนพร้อมเสียงร้องสอดประสานมาตามลม วันนี้เป็นวันอาทิตย์นี่นะคงจะเป็นกิจกรรม ของศาสนิกชนชาวคริสตัง ในแถบชุมชนกุฎีจีนที่มาร่วมร้องเพลงนมัสการพระเจ้าเป็นแน่
               
                ใต้หลังคาหน้าประตูโบสถ์ อากาศบริเวณนี้รู้สึกได้เลยว่าเย็นเหมือนติดแอร์ ยังจำได้บรรยากาศช่างเหมือนกับเวลาที่เราเคยไปนั่งเล่นที่ชายคาโบสถ์วัดระฆังฯ ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ยามใดที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการงานหรือชีวิต ก็มักจะไปนั่งรับอากาศเย็นๆ ที่ชายคาโบสถ์ทุกครั้งไป เพราะมันเย็นเข้าไปถึงจิต เย็นเข้าไปถึงหัวใจ
            

               
                 จากม้านั่งยาวแถวสุดท้าย ผมค่อยๆ ขยับกายกระดืบกระดืบขึ้นไปทีละแถว เพื่อมิให้เป็นการรบกวนสมาธิของสมาชิกนักร้องประสานเสียง ที่กำลังซ้อมกันอย่างจริงจังขะมักเขม้น หวังว่าจะได้บันทึกภาพพวกเขาในมุมสวยงาม และก็ได้พื้นที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งฟังเพลงประสานเสียง อันแสนไพเราะ เย็นจับใจ ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนตกภวังค์ 

                 นานเท่าใดไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีเพราะต้องรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด


             ตี๊ดดด.. ตี๊ดด.. เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น  เสียงออร์แกนเสียงร้องเพลงที่แสนไพเราะเมื่อสักครู่พลันหายไป ผมตื่นจากภวังค์ ด้วยหางตาผมเห็นสายตาหลายคู่ จับจ้องมาที่ผม  

        วิ่งสิครับรออะไร?


วัดบันดาลใจ มรดกไทยทางวัฒนธรรม

 พระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารเป็นมหาเจดีย์ที่สร้างแล้วเสร็จมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ 

สุทธิพร รัตนธร ศรัทธา....เรื่อง ศรายุธ พวงดี...ภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions# 5 ภูมิภาคภาคกลาง


                        หนึ่งร้อยสิบแปดปีที่แล้ว “วัดรั้วเหล็ก” เป็นวัดที่ชาวบ้านชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์สั่งเหล็กมาจากอังกฤษเพื่อถวายฯ พระองค์ท่าน แต่พระเจ้าอยู่หัวฯไม่โปรด สมเด็จเจ้าพระยาฯ จึงขอพระราชทานแลกเหล็กดังกล่าวกับน้ำตาลหนักต่อหนักเท่ากัน แล้วนำเหล็กนั้นมาทำเป็นรั้ววัดนี้เป็นรูปอาวุธโบราณ ชาวบ้านในชุมชนสมัยนั้นท่องติดปากต่อๆ กันมาว่า “ขวานสามหมื่น ปีนสามกระบอก หอกสามแสน” ซึ่งเป็น Talk of the town ในสมัยนั้น 

                      ชุมชนท้องถิ่นมีความผูกพันธ์กับวัดตั้งแต่เกิดถึงกระทั่งตาย จนมีคำพูดติดปากว่า“ญาติโยม” อันหมายถึงความเป็นญาติพี่น้องแล้ว ยังเป็นชื่อของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ผู้สร้างวัดนี้อีกด้วย ประยุรวงศาวาสจึงเป็นชื่อที่สะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชุมชนดั้งเดิมรอบข้างวัดได้อย่างชัดเจน

 พระพุทธธรรมวิเชษฐศาสดา (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

                       เมื่อคราวเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ฉันได้มาร่วมงานสมโภชวัดฯ ครบรอบ ๑๐๘ ปี ซึ่งมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานบนยอดพระบรมธาตุมหาเจดีย์ และพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร

                        วันนี้ ฉันได้มารำลึกถึงอดีตที่นี่ เริ่มจากฉันได้มากราบนมัสการ “หลวงพ่อพุทธนาค” หรือ “พระพุทธธรรมวิเชษฐศาสดา”ซึ่งชาวบ้านถิ่นนี้มีความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์จนลือเลื่องในชื่อว่า“พระพุทธนาคน้อย” พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัยความงดงามอ่อนช้อยที่ปลายพระหัต์ขวาทับพระเพลาขวาองค์นี้

 ภายในพระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร  

                  เดินต่อมาถึงพระบรมธาตุมหาเจดีย์ฉันได้พบสิ่งสำคัญอันหนึ่งคือ รางวัลจากองค์การ UNESCO ชื่อว่า Asia- Pacific  Award for Cultural Heritage Couseruation 2013  ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้น  ฉันรู้สึกสะดุดใจขึ้นว่า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ วัดฯ เคยได้รับรางวัล วันนี้ได้มาเห็นกับตาก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่ได้แค่รู้หรือได้ยินข่าวนั้นมาแล้ว น่าสนใจว่าทำไมวัดจึงได้รางวัลนี้ ? 

                        ขณะที่คำถามก้องอยู่ในใจ คำตอบก็คงอยู่ตรงที่นี้นั่นเอง เมื่อฉันได้ขึ้นมากราบพระบรมสารีริกธาตุ ณพระบรมธาตุมหาเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ด้วยเสาซุงก่ออิฐถือปูนแกนกลางเจดีย์หนึ่งเดียวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่ได้สร้างปูชนียวัตถุไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อมาด้วยความศรัทธาอันเป็นพุทธบูชาสืบต่อไป ทำให้ฉันรู้สึกเข้าใจถึงความเป็นคนไทยกับพระพุทธศาสนามากขึ้นไปอีกด้วยความซาบซึ้ง
                                
 ห้องจัดแสดงพระพุทธรูปในพิพธิภัณฑ์พระ (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

                           
                    จากนั้นได้เห็นภาพคลังพระพุทธรูปใน “พรินทรเปรียญ ปริยัติธรรมศาลา” ที่ดัดแปลงมาเป็น พิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร มีพระพุทธรูปอันล้ำค่า เลิศด้วยพุทธศิลป์ที่มีความหมายของยุคสมัยอันเป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ นับว่าเป็นทรัพย์มรดกของคนในยุคสมัยนี้ ซึ่งมีจำนวนมากมายประดิษฐานอยู่สงบงามภายในห้องจัดแสดง ที่ออกแบบไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ยิ้มปนปลื้มอย่างลงตัว

                        ถึงแม้ว่าปัจจุบันวิถีชีวิตชุมชนได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่วัดประยูรณ์ยังได้อนุรักษณ์โบราณสถานโดยบูรณะบำรุงไว้ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชุมชนดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี นี่คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้วัดฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศโลกจารึกนั้น
                        
                        ความสุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม ในแหล่งท่องเที่ยวภาคกลาง เป็นทั้งมรดกไทยและยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย


 
 สีสันลวดลายดอกพุดตานบนหน้าบันวิหาร (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

Thursday, September 8, 2016

แก่นธรรมที่ซ่อนไว้ ในพระบรมธาตุมหาเจดีย์

 พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่ประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

รัชฎากรณ์ จุ้มเขียวเรื่องและภาพ 
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง

มวลสารขนาดใหญ่ใดๆ ล้วนก่อเกิดจากสสารขนาดที่เล็กสุด ดังก้อนอิฐก้อนหนึ่งประกอบขึ้นมาจากแร่ดินขนาดเล็กในปริมาณมหาศาลถูกนำมาปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม แล้วเผาให้ร้อนจนแกร่ง ท่อนไม้ที่ประกอบด้วยเซลล์หลายล้านเซลล์กลายเป็นท่อนซุงแข็งแรง มนุษย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และปัญญา เมื่ออิฐหลายก้อน ซุงหลายท่อน ถูกรวมร่างโดยอาศัยแรงศรัทธาและกำลังของมนุษย์ จึงก่อเกิดเป็นปูชนียสถานสำคัญ สื่อถึงพระไตรลักษณ์ นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งใดๆในโลกล้วนอยู่บนพื้นฐานของ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใคร หรือสิ่งใดจะหลีกหนีได้

พระเจดีย์เล็ก ที่อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ 
พุทธานุสรณ์ที่สื่อถึงแก่นธรรมล้ำค่านี้ คือ พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแห่งนี้ เป็นเจดีย์เก่าแก่รูปทรงระฆังคว่ำ ศิลปะสมัยอยุธยา โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เป็นผู้เริ่มสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่นี้ขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ผู้สร้างก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน ต่อมา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ได้สร้างพระเจดีย์ต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัย รัชกาลที่ ๔ โดยเจดีย์มีความสูง ๖๐.๕๒๕ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๕๐ เมตร ฐานล่างส่วนนอกมีช่องคูหาล้อมรอบเจดีย์ ๕๔ คูหา ถัดจากช่องคูหาขึ้นไปมีพระเจดีย์เล็ก ๑๘ องค์อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ พระเจดีย์องค์ใหญ่ถูกฟ้าผ่าจนยอดหักและไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๖๑ พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารในขณะนั้น ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดพระเจดีย์ขึ้นอีกครั้ง
            
แกนกลางของเสาครูที่ถูกก่อให้สูงขึ้นไปจากส่วนฐานด้วยก้อนอิฐ ท่อนซุง และแรงศรัทธา 

           
         พระบรมธาตุมหาเจดีย์ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา โดยอาศัยวัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่เกิดจากแร่ดินที่ถูกนำมาปั้นเป็นก้อน เผาให้ร้อนแดงจนแข็งแกร่ง ท่อนไม้ซุง และมนุษย์ผู้ซึ่งได้รับการขัดเกลาสติและปัญญา ในที่สุดองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ก็ได้ผนึกกำลังกันเกิดเป็น พระบรมธาตุมหาเจดีย์งามสง่า โดยท่อนซุงหลายท่อนถูกนำมาวางเรียงรายเป็นฐานราก ส่วนหนึ่งตั้งเป็นแกนกลางของเสาครู จากนั้นก้อนอิฐก็ถูกนำมาก่อล้อมรอบท่อนซุงให้ตัวสูงขึ้นโดยเชื่อมกันด้วยปูนสอ กลายเป็นเสาครูที่มั่นคง รองรับให้อิฐหลายพันก้อนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำสูงตระหง่านเสียดฟ้า การสรรค์สร้างนี้ดำเนินผ่านห้วงเวลาไปวันแล้ววันเล่าด้วยสติปัญญาและกำลังของมนุษย์ จนกระทั่งศรัทธาที่เคยเป็นนามธรรมได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้ในที่สุดด้วยสิ่งเล็กๆเหล่านี้
            
 บันไดหินแกรนิต ทอดตัวสูงขึ้นไปสู่พระเจดีย์องค์ใหญ่ด้านบน

            
         เมื่อมีเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆล้วนดำรงอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถทนอยู่ได้ อิฐดินเหนียวถูกแดดเลีย ลมปะทะ ฝนสาดจนผุพัง ท่อนซุงเมื่อได้รับความชื้นและแรงกดทับมหาศาลจากอิฐที่ก่อเป็นตัวองค์พระเจดีย์ ก็ยากจะทนอยู่ได้ ชีวิตมนุษย์นั้นหรือก็ผ่านไปไวหลายอายุคน ในที่สุดปูชนียสถานแห่งนี้ก็ค่อยๆเสื่อมไป อีกทั้งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ถูกนำมาประดิษฐาน ณ เจดีย์แห่งนี้ยังได้สะท้อนถึงหลักพระไตรลักษณ์อีกทาง นั่นคือ เมื่อมีการเกิดขึ้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลง การตั้งอยู่ก่อให้เกิดทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ดับไปไม่มีเหลือซึ่งตัวตน ไม่มีสิ่งไหนหรือผู้ใดหลีกพ้นได้แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง
            
พระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ถูกนำมาประดิษฐานอยู่ตรงมุมหนึ่งของเสาครู 
        
          ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลาย พึงตระหนักรู้อยู่เสมอว่าสิ่งใดๆก็ตามเมื่อได้เกิดขึ้นแล้วย่อมสร้างคุณค่า ขณะดำรงอยู่ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไป จวบจนถึงคราวดับสลายก็ทิ้งหลักธรรมไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เลือนหายไปในกาลเวลา เฉกเช่นเดียวกับการเกิดเป็นมนุษย์พึงเร่งสร้างความดีไว้ เพราะถึงแม้สังขารดับไป ก็ยังเหลือไว้ซึ่งความดีงามไม่อายก้อนอิฐและท่อนซุง
            

แหล่งข้อมูลอ้างอิง