![]() |
| พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่ประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร |
รัชฎากรณ์ จุ้มเขียว…เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง
มวลสารขนาดใหญ่ใดๆ
ล้วนก่อเกิดจากสสารขนาดที่เล็กสุด ดังก้อนอิฐก้อนหนึ่งประกอบขึ้นมาจากแร่ดินขนาดเล็กในปริมาณมหาศาลถูกนำมาปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม
แล้วเผาให้ร้อนจนแกร่ง ท่อนไม้ที่ประกอบด้วยเซลล์หลายล้านเซลล์กลายเป็นท่อนซุงแข็งแรง
มนุษย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และปัญญา เมื่ออิฐหลายก้อน
ซุงหลายท่อน ถูกรวมร่างโดยอาศัยแรงศรัทธาและกำลังของมนุษย์ จึงก่อเกิดเป็นปูชนียสถานสำคัญ
สื่อถึงพระไตรลักษณ์ นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกสิ่งใดๆในโลกล้วนอยู่บนพื้นฐานของ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใคร
หรือสิ่งใดจะหลีกหนีได้
![]() |
| พระเจดีย์เล็ก ที่อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ |
พุทธานุสรณ์ที่สื่อถึงแก่นธรรมล้ำค่านี้
คือ พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแห่งนี้ เป็นเจดีย์เก่าแก่รูปทรงระฆังคว่ำ
ศิลปะสมัยอยุธยา โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์
เป็นผู้เริ่มสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่นี้ขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ
ผู้สร้างก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน ต่อมา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง
บุญนาค) ได้สร้างพระเจดีย์ต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัย รัชกาลที่ ๔ โดยเจดีย์มีความสูง
๖๐.๕๒๕ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๕๐ เมตร ฐานล่างส่วนนอกมีช่องคูหาล้อมรอบเจดีย์
๕๔ คูหา ถัดจากช่องคูหาขึ้นไปมีพระเจดีย์เล็ก ๑๘ องค์อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่
จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ พระเจดีย์องค์ใหญ่ถูกฟ้าผ่าจนยอดหักและไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์
กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๖๑ พระธรรมไตรโลกาจารย์
เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารในขณะนั้น
ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดพระเจดีย์ขึ้นอีกครั้ง
![]() |
| แกนกลางของเสาครูที่ถูกก่อให้สูงขึ้นไปจากส่วนฐานด้วยก้อนอิฐ ท่อนซุง และแรงศรัทธา |
พระบรมธาตุมหาเจดีย์ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา
โดยอาศัยวัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่เกิดจากแร่ดินที่ถูกนำมาปั้นเป็นก้อน เผาให้ร้อนแดงจนแข็งแกร่ง
ท่อนไม้ซุง และมนุษย์ผู้ซึ่งได้รับการขัดเกลาสติและปัญญา ในที่สุดองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ก็ได้ผนึกกำลังกันเกิดเป็น
พระบรมธาตุมหาเจดีย์งามสง่า โดยท่อนซุงหลายท่อนถูกนำมาวางเรียงรายเป็นฐานราก ส่วนหนึ่งตั้งเป็นแกนกลางของเสาครู
จากนั้นก้อนอิฐก็ถูกนำมาก่อล้อมรอบท่อนซุงให้ตัวสูงขึ้นโดยเชื่อมกันด้วยปูนสอ กลายเป็นเสาครูที่มั่นคง
รองรับให้อิฐหลายพันก้อนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำสูงตระหง่านเสียดฟ้า
การสรรค์สร้างนี้ดำเนินผ่านห้วงเวลาไปวันแล้ววันเล่าด้วยสติปัญญาและกำลังของมนุษย์
จนกระทั่งศรัทธาที่เคยเป็นนามธรรมได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้ในที่สุดด้วยสิ่งเล็กๆเหล่านี้
![]() |
| บันไดหินแกรนิต ทอดตัวสูงขึ้นไปสู่พระเจดีย์องค์ใหญ่ด้านบน |
เมื่อมีเกิดขึ้นมาแล้ว
สิ่งต่างๆล้วนดำรงอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถทนอยู่ได้ อิฐดินเหนียวถูกแดดเลีย
ลมปะทะ ฝนสาดจนผุพัง ท่อนซุงเมื่อได้รับความชื้นและแรงกดทับมหาศาลจากอิฐที่ก่อเป็นตัวองค์พระเจดีย์
ก็ยากจะทนอยู่ได้ ชีวิตมนุษย์นั้นหรือก็ผ่านไปไวหลายอายุคน
ในที่สุดปูชนียสถานแห่งนี้ก็ค่อยๆเสื่อมไป อีกทั้งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ถูกนำมาประดิษฐาน
ณ เจดีย์แห่งนี้ยังได้สะท้อนถึงหลักพระไตรลักษณ์อีกทาง นั่นคือ เมื่อมีการเกิดขึ้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
การตั้งอยู่ก่อให้เกิดทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ดับไปไม่มีเหลือซึ่งตัวตน ไม่มีสิ่งไหนหรือผู้ใดหลีกพ้นได้แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง
ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลาย
พึงตระหนักรู้อยู่เสมอว่าสิ่งใดๆก็ตามเมื่อได้เกิดขึ้นแล้วย่อมสร้างคุณค่า ขณะดำรงอยู่ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไป
จวบจนถึงคราวดับสลายก็ทิ้งหลักธรรมไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เลือนหายไปในกาลเวลา
เฉกเช่นเดียวกับการเกิดเป็นมนุษย์พึงเร่งสร้างความดีไว้ เพราะถึงแม้สังขารดับไป
ก็ยังเหลือไว้ซึ่งความดีงามไม่อายก้อนอิฐและท่อนซุง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง





No comments:
Post a Comment