![]() |
| ศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นศาลเจ้าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวจีนฝั่งธนบุรี |
สมบัติ
รัตนโรจน์มงคล...เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมโครงการ อ.ส.ท. to the regions # ภูมิภาคภาคกลาง
วันหยุดนี้หลายๆ
คนในกรุงเทพมหานครคงจะเสิร์ชหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวใน
Google เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจ
พักผ่อนกับครอบครัว
แต่ละท่านคงมองไปที่ห้างสรรพสินค้า
ตลาดน้ำ
หรือวัดวาอารามต่างๆ
โดยมองข้ามหนึ่งชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังคงแฝงไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย
รวมทั้งยังเป็นแหล่งผลิตขนมโบราณรสเลิศ
ที่นั่นคือ
“ชุมชนกุฎีจีน”
![]() |
| ความงดงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมที่แกะสลักด้วยไม้ |
![]() |
| ประชาชนทุกสารทิศต่างมากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล |
กุฎีจีน หรือ กะดีจีน
อดีตศูนย์กลางชาวจีนที่อาศัยอยู่ในฝั่งธนบุรี โดยได้ชื่อมาจากศาลเจ้าสองแห่ง “ศาลเจ้าโจวซือกง” และ “ศาลเจ้ากวนอู” สองศาลเจ้าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวจีนในสมัยกรุงธนบุรี
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนได้รวมศาลเจ้าทั้งสองแห่งไว้ด้วยกันและใช้ชื่อ
“ศาลเจ้าเกียนอันเกง” ภายในมีองค์เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักด้วยไม้หอมและปิดทองหุ้มทั้งองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเจ้าเกียนอังเกงแห่งนี้
![]() |
| ความงดงามทางสถาปัตยกรรมของโบสถ์ซางตาครูสที่ผ่านกาลเวลา |
![]() |
| สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่พึ่งของชาวคริสต์ทั้งอดีตและปัจจุบัน |
ถัดมาเป็นศาสนสถานสำคัญของชาวคริสต์
“โบสถ์ซางตาครูส”
หรือ
“โบสถ์กางเขนศักดิ์สิทธิ์”
เป็นหนึ่งศาสนสถานสำคัญของชุมชนชาวกุฎีจีน
โดยเดิมทีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี
ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้ให้แก่ทหารรับจ้างที่มาร่วมรบกับชาวไทยให้ได้พักอาศัย
โดยกลุ่มทหารชาวโปรตุเกสร่วมกันสร้างโบสถ์ซางตาครูสขึ้น
เพื่อเป็นที่เผยแผ่ศาสนาและเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวคริสเตียนในประเทศไทย
![]() |
| พี่ป้อมโชว์วิธีการทำขนมกุฎีจีนแบบดั่งเดิมที่หาชมได้ยาก |
![]() |
| ถ้าใครมาชุมชนกุฎีจีนแล้วไม่ได้กินขนมกุฎีจีนเหมือนมาไม่ถึง |
หลังจากได้ศึกษาศาสนสถานทางประวัติศาสตร์แล้ว
ยังมีขนมโบราณรสเลิศที่ยังคงแอบซ่อนอยู่ในชุมชนกุฎีจีน
นั่นคือ
“ขนมกุฎีจีน”
หรืออีกชื่อ
“ขนมฝรั่งกุฎีจีน”
ขนมโบราณขึ้นชื่อที่มีการทำขายกันแค่ภายในชุมชนกุฎีจีนและยังคงสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่สามร้านเท่านั้น
พี่ป้อมและพี่แหม่มสองสามีภรรยาผู้ยังคงสืบทอดการทำขนมกุฎีจีน
ได้เล่าว่า
“ขนมกุฎีจีนเดิมทีมาจากชาวโปรตุเกสที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้
นำเข้ามาและต่อมาชาวไทยได้มีการฝึกทำกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ขั้นตอนการทำก่อนจะอบขนมต้องตั้งเตาให้ร้อน แล้วนำตัวขนมที่ใส่แม่พิมพ์มาวางเรียงบนพื้นกรวด นำถาดมาปิด
จากนั้นนำถ่านที่ร้อนมาโรยไว้บนถาดเพื่อให้ขนมขึ้นฟู
เมื่อได้ที่แล้วเคาะออกจากแม่พิมพ์ วัตถุดิบสำคัญที่สุดคือ
แป้งและไข่" ตอนนี้ขนมกุฎีจีนเริ่มหากินยากแล้ว อยากให้คนกรุงทุกคนลองมากิน และเข้ามาเยี่ยมเยียนชุมชนประวัติศาสตร์นี้”
แม้เวลาจะผ่านมานานนับศตวรรษแต่ชุมชนชาวกุฎีจีนยังคงรักษาเอกลักษณ์และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
แม้ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเรื่องราวใหม่ๆ
เกิดขึ้นตลอดเวลา
ทำให้เรื่องราวประวัติศาสตร์ในอดีตค่อยๆจางหายไป
หากคนไทยยังไม่ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ให้เหล่าลูกหลาน
สักวันมันคงจะเลือนหายและโดนฝังไปพร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่คอยปกป้องสิ่งเหล่านี้...








No comments:
Post a Comment