Wednesday, September 21, 2016

จิตวิญญาณใน..หมูกระดาษ

 หมูกระดาษที่ป้าน้อยปรับรูปแบบจากที่คุณพ่อทำให้อ้วนขึ้น หน้าหวานขึ้น คล้ายการ์ตูน

ศตพร วานิชทวีวัฒน์... เรื่องและภาพ
รางวัลสร้างสรรค์เนื้อหาสารคดีดีเด่น ในโครงการ อ.ส.ท. to the regions# 5 ภูมิภาคภาคกลาง

            หมูกระดาษสีแดง” ความทรงจำในวัยเยาว์ ผุดขึ้นมาในใจ เมื่อเห็นหมูกระดาษสีแดงของป้าน้อยวางเรียงโชว์อยู่ ที่ร้านในซอยเล็กๆ ตรงข้ามสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนต์     ย้อนกลับไปเมื่อสัก ๕๐ ปีที่แล้ว เด็กๆ     คุณย่าซื้อหมูกระดาษตัวโตให้ฉันเป็นของเล่น หมูกระดาษยุคนั้นแข็งแรงพอที่เด็กๆวัยสามถึงห้าขวบขี่เล่นได้
            
             คุณย่ายังใช้เจ้าหมูกระดาษนี้แหละสอนการออมให้ฉัน เจ้าหมูตัวนี้ข้างในกลวงเจาะช่องไว้สำหรับหยอดเงิน  เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน และมีเงินค่าขนมเหลือ คุณย่าจะให้ฉันเอามาหยอดใส่กระปุกหมูกระดาษสีแดงตัวโปรดของฉัน   เมื่อเต็มเราก็จะผ่าท้องมัน เอามานับและเอาไปฝากธนาคารออมสิน

 ป้าน้อยสาธิตการขึ้นรูปหมูกระดาษ

"ป้าน้อย" หรือ ป้าธนธรณ์  ธงน้อย อายุ ๖๙ ปี ทำหมูกระดาษสืบทอดมาจากคุณพ่อ ป้าน้อยเล่าว่า คุณปู่อยากให้คุณพ่อรับราชการ แต่คุณพ่อมีใจรักในงานศิลปะมากกว่า ท่านเริ่มต้นจากการปั้นพระก่อน ต่อมาคุณพ่อป้าน้อย เห็นว่ากระดาษในยุคนั้นหาได้ง่าย จึงคิดประดิษฐ์หมูกระดาษ  ที่เลือกทำหมูสีแดง เพราะบ้านนี้อยู่ใกล้วัดประยูรวงศาวาส ยุคนั้นผู้คนชอบเอาหมูเป็นๆ มาปล่อยแก้บนที่วัดประยูรฯ และย่านนั้นก็มีคนจีนอยู่เยอะ หมูเป็นสัตว์มงคลของจีนหมายถึง ความสมบูรณ์ และ สีแดงก็ยังเป็นสีมงคลของจีน   คุณพ่อป้าน้อยประดิษฐ์หมูกระดาษสีแดงซึ่งทุกขั้นตอนทำด้วยมือ ขายดีมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีน

 นอกจากหมูกระดาษแล้ว ป้าน้อยยังออกแบบเป็นเครื่องแขวน รูป เดือน ดาว และปลา

ป้าน้อยเล่าว่า หลังจากแต่งงานป้าน้อยก็ย้ายไปอยู่กับสามี เป็นช่างออกแบบเสื้อผ้า แต่ในที่สุดป้าก็กลับมาช่วยกิจการครอบครัว เพราะคุณพ่อ สั่งลูกๆไว้ว่า” อยากจะทำอะไรก็ไปทำตามใจปรารถนา หากไม่มีอะไรจะทำให้กลับมาทำหมูกระดาษกับพ่อนับแต่นั้นมาป้าน้อยก็ทำมาเรื่อยๆ หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็มีการปรับรูปแบบ เช่น หมูสมัยก่อนจะผอมกว่านี้ ตาก็จะเป็นตาชั้นเดียวเหมือนหมูจริง ป้าน้อย ก็ปรับให้หมูอวบขึ้น ตาหวานขึ้นเหมือนในการ์ตูน  นอกจากนั้น ยังมีแบบใหม่ๆ เช่น ยีราฟ เต่า พระจันทร์เสี้ยวทำเป็นเครื่องแขวน 

หากแต่จิตวิญญาณที่คุณพ่อฝากไว้กับป้าน้อยคือ การทำหมูออมสินกระดาษนั้น ห้ามไม่ให้ทำแบบที่สามารถเปิดออกได้ เพราะต้องการให้มีการออมให้เต็มจึงผ่าหมูออก หมูกระดาษมีราคาแพง หากไม่เต็มแล้วผ่าออก เจ้าของจะรู้สึกเสียดาย  หากออมจนเต็มแล้วค่อยผ่าออก จึงจะคุ้มค่า  ป้าน้อยบอกฉันว่าปัจจุบัน มีคนเคยมาสั่งให้ป้าทำแบบเปิดออกได้ที่ท้อง ป้าไม่รับทำ 

ป้ายังยึดมั่นคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ

สินค้าเปเปอร์มาเช่ รูปแบบต่างๆ จากร้านป้าน้อย 




Tuesday, September 20, 2016

แสงแดด สายลม ตกภวังค์


เจษฎา เพชรดาวงค์... เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง

แสงแดดเวลาใกล้เที่ยง ทำให้ผมอ่อนแรงจากการเดินถ่ายภาพแถบชุมชนกุฎีจีนเป็นยิ่งนัก ผ่านมาที่หน้าวัดซางตาครู้ส มีศาลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลังน้อย ต้องขอหลบเข้าไปนั่งพักเพื่อให้คลายความร้อนที่ระอุอยู่ในกาย ก่อนที่ลมแดดจะหอบพาให้หมดสติไปเสียก่อน
           
               “งามหนักนัก” ผมอุทานในใจ เมื่อเริ่มสอดส่ายสายตาสำรวจศาลาทรงวิคทอเรียขนมปังขิง ที่มีจัตุรมุข ๔ ด้าน ลวดลายที่ฉลุลงบนไม้สักประดับหน้าจั่วและซุ้มประตู ช่างดูงดงามสมราคาฝีมือช่างเมื่อกว่าร้อยปีก่อนเป็นยิ่งนัก
                 

                
             อาการโอเวอร์ฮีทในกายเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ยังไม่ทันได้พักจากชื่นชมศิลปะงานไม้ฉลุ ก็ได้แว่วเสียงออร์แกนพร้อมเสียงร้องสอดประสานมาตามลม วันนี้เป็นวันอาทิตย์นี่นะคงจะเป็นกิจกรรม ของศาสนิกชนชาวคริสตัง ในแถบชุมชนกุฎีจีนที่มาร่วมร้องเพลงนมัสการพระเจ้าเป็นแน่
               
                ใต้หลังคาหน้าประตูโบสถ์ อากาศบริเวณนี้รู้สึกได้เลยว่าเย็นเหมือนติดแอร์ ยังจำได้บรรยากาศช่างเหมือนกับเวลาที่เราเคยไปนั่งเล่นที่ชายคาโบสถ์วัดระฆังฯ ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ยามใดที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการงานหรือชีวิต ก็มักจะไปนั่งรับอากาศเย็นๆ ที่ชายคาโบสถ์ทุกครั้งไป เพราะมันเย็นเข้าไปถึงจิต เย็นเข้าไปถึงหัวใจ
            

               
                 จากม้านั่งยาวแถวสุดท้าย ผมค่อยๆ ขยับกายกระดืบกระดืบขึ้นไปทีละแถว เพื่อมิให้เป็นการรบกวนสมาธิของสมาชิกนักร้องประสานเสียง ที่กำลังซ้อมกันอย่างจริงจังขะมักเขม้น หวังว่าจะได้บันทึกภาพพวกเขาในมุมสวยงาม และก็ได้พื้นที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งฟังเพลงประสานเสียง อันแสนไพเราะ เย็นจับใจ ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนตกภวังค์ 

                 นานเท่าใดไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีเพราะต้องรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด


             ตี๊ดดด.. ตี๊ดด.. เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น  เสียงออร์แกนเสียงร้องเพลงที่แสนไพเราะเมื่อสักครู่พลันหายไป ผมตื่นจากภวังค์ ด้วยหางตาผมเห็นสายตาหลายคู่ จับจ้องมาที่ผม  

        วิ่งสิครับรออะไร?


วัดบันดาลใจ มรดกไทยทางวัฒนธรรม

 พระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารเป็นมหาเจดีย์ที่สร้างแล้วเสร็จมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ 

สุทธิพร รัตนธร ศรัทธา....เรื่อง ศรายุธ พวงดี...ภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions# 5 ภูมิภาคภาคกลาง


                        หนึ่งร้อยสิบแปดปีที่แล้ว “วัดรั้วเหล็ก” เป็นวัดที่ชาวบ้านชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ มีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์สั่งเหล็กมาจากอังกฤษเพื่อถวายฯ พระองค์ท่าน แต่พระเจ้าอยู่หัวฯไม่โปรด สมเด็จเจ้าพระยาฯ จึงขอพระราชทานแลกเหล็กดังกล่าวกับน้ำตาลหนักต่อหนักเท่ากัน แล้วนำเหล็กนั้นมาทำเป็นรั้ววัดนี้เป็นรูปอาวุธโบราณ ชาวบ้านในชุมชนสมัยนั้นท่องติดปากต่อๆ กันมาว่า “ขวานสามหมื่น ปีนสามกระบอก หอกสามแสน” ซึ่งเป็น Talk of the town ในสมัยนั้น 

                      ชุมชนท้องถิ่นมีความผูกพันธ์กับวัดตั้งแต่เกิดถึงกระทั่งตาย จนมีคำพูดติดปากว่า“ญาติโยม” อันหมายถึงความเป็นญาติพี่น้องแล้ว ยังเป็นชื่อของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ผู้สร้างวัดนี้อีกด้วย ประยุรวงศาวาสจึงเป็นชื่อที่สะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชุมชนดั้งเดิมรอบข้างวัดได้อย่างชัดเจน

 พระพุทธธรรมวิเชษฐศาสดา (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

                       เมื่อคราวเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ฉันได้มาร่วมงานสมโภชวัดฯ ครบรอบ ๑๐๘ ปี ซึ่งมีพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานบนยอดพระบรมธาตุมหาเจดีย์ และพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร

                        วันนี้ ฉันได้มารำลึกถึงอดีตที่นี่ เริ่มจากฉันได้มากราบนมัสการ “หลวงพ่อพุทธนาค” หรือ “พระพุทธธรรมวิเชษฐศาสดา”ซึ่งชาวบ้านถิ่นนี้มีความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์จนลือเลื่องในชื่อว่า“พระพุทธนาคน้อย” พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัยความงดงามอ่อนช้อยที่ปลายพระหัต์ขวาทับพระเพลาขวาองค์นี้

 ภายในพระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร  

                  เดินต่อมาถึงพระบรมธาตุมหาเจดีย์ฉันได้พบสิ่งสำคัญอันหนึ่งคือ รางวัลจากองค์การ UNESCO ชื่อว่า Asia- Pacific  Award for Cultural Heritage Couseruation 2013  ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้น  ฉันรู้สึกสะดุดใจขึ้นว่า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ วัดฯ เคยได้รับรางวัล วันนี้ได้มาเห็นกับตาก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่ได้แค่รู้หรือได้ยินข่าวนั้นมาแล้ว น่าสนใจว่าทำไมวัดจึงได้รางวัลนี้ ? 

                        ขณะที่คำถามก้องอยู่ในใจ คำตอบก็คงอยู่ตรงที่นี้นั่นเอง เมื่อฉันได้ขึ้นมากราบพระบรมสารีริกธาตุ ณพระบรมธาตุมหาเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ด้วยเสาซุงก่ออิฐถือปูนแกนกลางเจดีย์หนึ่งเดียวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่ได้สร้างปูชนียวัตถุไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อมาด้วยความศรัทธาอันเป็นพุทธบูชาสืบต่อไป ทำให้ฉันรู้สึกเข้าใจถึงความเป็นคนไทยกับพระพุทธศาสนามากขึ้นไปอีกด้วยความซาบซึ้ง
                                
 ห้องจัดแสดงพระพุทธรูปในพิพธิภัณฑ์พระ (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

                           
                    จากนั้นได้เห็นภาพคลังพระพุทธรูปใน “พรินทรเปรียญ ปริยัติธรรมศาลา” ที่ดัดแปลงมาเป็น พิพิธภัณฑ์พระประยูรภัณฑาคาร มีพระพุทธรูปอันล้ำค่า เลิศด้วยพุทธศิลป์ที่มีความหมายของยุคสมัยอันเป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ นับว่าเป็นทรัพย์มรดกของคนในยุคสมัยนี้ ซึ่งมีจำนวนมากมายประดิษฐานอยู่สงบงามภายในห้องจัดแสดง ที่ออกแบบไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ยิ้มปนปลื้มอย่างลงตัว

                        ถึงแม้ว่าปัจจุบันวิถีชีวิตชุมชนได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่วัดประยูรณ์ยังได้อนุรักษณ์โบราณสถานโดยบูรณะบำรุงไว้ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชุมชนดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี นี่คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้วัดฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศโลกจารึกนั้น
                        
                        ความสุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม ในแหล่งท่องเที่ยวภาคกลาง เป็นทั้งมรดกไทยและยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย


 
 สีสันลวดลายดอกพุดตานบนหน้าบันวิหาร (ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพ) 

Thursday, September 8, 2016

แก่นธรรมที่ซ่อนไว้ ในพระบรมธาตุมหาเจดีย์

 พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่ประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

รัชฎากรณ์ จุ้มเขียวเรื่องและภาพ 
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง

มวลสารขนาดใหญ่ใดๆ ล้วนก่อเกิดจากสสารขนาดที่เล็กสุด ดังก้อนอิฐก้อนหนึ่งประกอบขึ้นมาจากแร่ดินขนาดเล็กในปริมาณมหาศาลถูกนำมาปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยม แล้วเผาให้ร้อนจนแกร่ง ท่อนไม้ที่ประกอบด้วยเซลล์หลายล้านเซลล์กลายเป็นท่อนซุงแข็งแรง มนุษย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และปัญญา เมื่ออิฐหลายก้อน ซุงหลายท่อน ถูกรวมร่างโดยอาศัยแรงศรัทธาและกำลังของมนุษย์ จึงก่อเกิดเป็นปูชนียสถานสำคัญ สื่อถึงพระไตรลักษณ์ นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งใดๆในโลกล้วนอยู่บนพื้นฐานของ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใคร หรือสิ่งใดจะหลีกหนีได้

พระเจดีย์เล็ก ที่อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ 
พุทธานุสรณ์ที่สื่อถึงแก่นธรรมล้ำค่านี้ คือ พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ซึ่งประดิษฐาน ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแห่งนี้ เป็นเจดีย์เก่าแก่รูปทรงระฆังคว่ำ ศิลปะสมัยอยุธยา โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เป็นผู้เริ่มสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่นี้ขึ้น แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ผู้สร้างก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน ต่อมา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ได้สร้างพระเจดีย์ต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัย รัชกาลที่ ๔ โดยเจดีย์มีความสูง ๖๐.๕๒๕ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๕๐ เมตร ฐานล่างส่วนนอกมีช่องคูหาล้อมรอบเจดีย์ ๕๔ คูหา ถัดจากช่องคูหาขึ้นไปมีพระเจดีย์เล็ก ๑๘ องค์อยู่ล้อมรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ พระเจดีย์องค์ใหญ่ถูกฟ้าผ่าจนยอดหักและไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๖๑ พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารในขณะนั้น ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดพระเจดีย์ขึ้นอีกครั้ง
            
แกนกลางของเสาครูที่ถูกก่อให้สูงขึ้นไปจากส่วนฐานด้วยก้อนอิฐ ท่อนซุง และแรงศรัทธา 

           
         พระบรมธาตุมหาเจดีย์ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา โดยอาศัยวัสดุจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่เกิดจากแร่ดินที่ถูกนำมาปั้นเป็นก้อน เผาให้ร้อนแดงจนแข็งแกร่ง ท่อนไม้ซุง และมนุษย์ผู้ซึ่งได้รับการขัดเกลาสติและปัญญา ในที่สุดองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ก็ได้ผนึกกำลังกันเกิดเป็น พระบรมธาตุมหาเจดีย์งามสง่า โดยท่อนซุงหลายท่อนถูกนำมาวางเรียงรายเป็นฐานราก ส่วนหนึ่งตั้งเป็นแกนกลางของเสาครู จากนั้นก้อนอิฐก็ถูกนำมาก่อล้อมรอบท่อนซุงให้ตัวสูงขึ้นโดยเชื่อมกันด้วยปูนสอ กลายเป็นเสาครูที่มั่นคง รองรับให้อิฐหลายพันก้อนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำสูงตระหง่านเสียดฟ้า การสรรค์สร้างนี้ดำเนินผ่านห้วงเวลาไปวันแล้ววันเล่าด้วยสติปัญญาและกำลังของมนุษย์ จนกระทั่งศรัทธาที่เคยเป็นนามธรรมได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมให้จับต้องได้ในที่สุดด้วยสิ่งเล็กๆเหล่านี้
            
 บันไดหินแกรนิต ทอดตัวสูงขึ้นไปสู่พระเจดีย์องค์ใหญ่ด้านบน

            
         เมื่อมีเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆล้วนดำรงอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถทนอยู่ได้ อิฐดินเหนียวถูกแดดเลีย ลมปะทะ ฝนสาดจนผุพัง ท่อนซุงเมื่อได้รับความชื้นและแรงกดทับมหาศาลจากอิฐที่ก่อเป็นตัวองค์พระเจดีย์ ก็ยากจะทนอยู่ได้ ชีวิตมนุษย์นั้นหรือก็ผ่านไปไวหลายอายุคน ในที่สุดปูชนียสถานแห่งนี้ก็ค่อยๆเสื่อมไป อีกทั้งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ถูกนำมาประดิษฐาน ณ เจดีย์แห่งนี้ยังได้สะท้อนถึงหลักพระไตรลักษณ์อีกทาง นั่นคือ เมื่อมีการเกิดขึ้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลง การตั้งอยู่ก่อให้เกิดทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ดับไปไม่มีเหลือซึ่งตัวตน ไม่มีสิ่งไหนหรือผู้ใดหลีกพ้นได้แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง
            
พระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ถูกนำมาประดิษฐานอยู่ตรงมุมหนึ่งของเสาครู 
        
          ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลาย พึงตระหนักรู้อยู่เสมอว่าสิ่งใดๆก็ตามเมื่อได้เกิดขึ้นแล้วย่อมสร้างคุณค่า ขณะดำรงอยู่ก็ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไป จวบจนถึงคราวดับสลายก็ทิ้งหลักธรรมไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เลือนหายไปในกาลเวลา เฉกเช่นเดียวกับการเกิดเป็นมนุษย์พึงเร่งสร้างความดีไว้ เพราะถึงแม้สังขารดับไป ก็ยังเหลือไว้ซึ่งความดีงามไม่อายก้อนอิฐและท่อนซุง
            

แหล่งข้อมูลอ้างอิง


เรื่องเล่า...ชุมชนกุฎีจีน

 ศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นศาลเจ้าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวจีนฝั่งธนบุรี

สมบัติ รัตนโรจน์มงคล...เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมโครงการ อ.ส.ท. to the regions # ภูมิภาคภาคกลาง
            
         วันหยุดนี้หลายๆ คนในกรุงเทพมหานครคงจะเสิร์ชหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวใน Google  เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจ พักผ่อนกับครอบครัว แต่ละท่านคงมองไปที่ห้างสรรพสินค้า ตลาดน้ำ หรือวัดวาอารามต่างๆ โดยมองข้ามหนึ่งชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังคงแฝงไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย รวมทั้งยังเป็นแหล่งผลิตขนมโบราณรสเลิศ ที่นั่นคือชุมชนกุฎีจีน

 ความงดงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมที่แกะสลักด้วยไม้

 ประชาชนทุกสารทิศต่างมากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล

            กุฎีจีน หรือ กะดีจีน อดีตศูนย์กลางชาวจีนที่อาศัยอยู่ในฝั่งธนบุรี โดยได้ชื่อมาจากศาลเจ้าสองแห่ง    “ศาลเจ้าโจวซือกงและศาลเจ้ากวนอูสองศาลเจ้าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวจีนในสมัยกรุงธนบุรี ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนได้รวมศาลเจ้าทั้งสองแห่งไว้ด้วยกันและใช้ชื่อศาลเจ้าเกียนอันเกงภายในมีองค์เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักด้วยไม้หอมและปิดทองหุ้มทั้งองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเจ้าเกียนอังเกงแห่งนี้

           
ความงดงามทางสถาปัตยกรรมของโบสถ์ซางตาครูสที่ผ่านกาลเวลา 

 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่พึ่งของชาวคริสต์ทั้งอดีตและปัจจุบัน

           ถัดมาเป็นศาสนสถานสำคัญของชาวคริสต์โบสถ์ซางตาครูสหรือโบสถ์กางเขนศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งศาสนสถานสำคัญของชุมชนชาวกุฎีจีน โดยเดิมทีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้ให้แก่ทหารรับจ้างที่มาร่วมรบกับชาวไทยให้ได้พักอาศัย โดยกลุ่มทหารชาวโปรตุเกสร่วมกันสร้างโบสถ์ซางตาครูสขึ้น เพื่อเป็นที่เผยแผ่ศาสนาและเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวคริสเตียนในประเทศไทย
            

 พี่ป้อมโชว์วิธีการทำขนมกุฎีจีนแบบดั่งเดิมที่หาชมได้ยาก

 ถ้าใครมาชุมชนกุฎีจีนแล้วไม่ได้กินขนมกุฎีจีนเหมือนมาไม่ถึง
      หลังจากได้ศึกษาศาสนสถานทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีขนมโบราณรสเลิศที่ยังคงแอบซ่อนอยู่ในชุมชนกุฎีจีน นั่นคือขนมกุฎีจีนหรืออีกชื่อขนมฝรั่งกุฎีจีนขนมโบราณขึ้นชื่อที่มีการทำขายกันแค่ภายในชุมชนกุฎีจีนและยังคงสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่สามร้านเท่านั้น

         พี่ป้อมและพี่แหม่มสองสามีภรรยาผู้ยังคงสืบทอดการทำขนมกุฎีจีน ได้เล่าว่าขนมกุฎีจีนเดิมทีมาจากชาวโปรตุเกสที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณชุมชนกุฎีจีนนี้ นำเข้ามาและต่อมาชาวไทยได้มีการฝึกทำกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ขั้นตอนการทำก่อนจะอบขนมต้องตั้งเตาให้ร้อน แล้วนำตัวขนมที่ใส่แม่พิมพ์มาวางเรียงบนพื้นกรวด นำถาดมาปิด จากนั้นนำถ่านที่ร้อนมาโรยไว้บนถาดเพื่อให้ขนมขึ้นฟู เมื่อได้ที่แล้วเคาะออกจากแม่พิมพ์ วัตถุดิบสำคัญที่สุดคือ แป้งและไข่" ตอนนี้ขนมกุฎีจีนเริ่มหากินยากแล้ว อยากให้คนกรุงทุกคนลองมากิน และเข้ามาเยี่ยมเยียนชุมชนประวัติศาสตร์นี้
            
  ขนมกุฎีจีนถือเป็นผลิตภัณฑ์คู่ย่านกุฎีจีนผู้แวะเวียนต้องห้ามพลาด
            
        แม้เวลาจะผ่านมานานนับศตวรรษแต่ชุมชนชาวกุฎีจีนยังคงรักษาเอกลักษณ์และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แม้ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้เรื่องราวประวัติศาสตร์ในอดีตค่อยๆจางหายไป หากคนไทยยังไม่ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ให้เหล่าลูกหลาน สักวันมันคงจะเลือนหายและโดนฝังไปพร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่คอยปกป้องสิ่งเหล่านี้...




Tuesday, September 6, 2016

ชุมชนริมน้ำฝั่งธนบุรี ความแตกต่างที่กลมกลืน

 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบโบสถ์ซางตาครู้ส อันเป็นศูนย์รวมศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชน
ประจิตร ป้อมอรินทร์ ...เรื่องและภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการอ.ส.ท. to the regions # 5 ภูมิภาคภาคกลาง

            หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกอบกู้เอกราชจากพม่าสำเร็จ พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยาที่ชำรุดทรุดโทรมจากศึกสงคราม มายังเมืองธนบุรีซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และมีรับสั่งให้รวบรวมชาวบ้านที่กระจัดกระจายจากภัยสงคราม อพยพมายังราชธานีแห่งใหม่นี้ รวมทั้งพระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีให้ชาวบ้านและทหารที่ร่วมกันกอบกู้เอกราชจนสำเร็จ โดยบางส่วนเป็นชาวต่างชาติ ทั้งชาวจีนและชาวโปรตุเกส ยังผลให้ชาวบ้านบริเวณนี้มีความแตกต่างทั้งในด้านประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา
            
เด็กหญิงมุสลิมนั่งเล่นบริเวณชุมชนมัสยิดต้นสน
          เป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปีที่ชาวบ้านชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีสืบทอดเชื้อสายมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้จะมีหลากศาสนา หลายความเชื่อ แต่ศาสนสถานของแต่ละศาสนาก็ตั้งอยู่บริเวณใกล้กันอย่างน่าประหลาดใจ ได้แก่ วัดประยุรวงศาวาสฯ วัดกัลยาณมิตรฯ โบสถ์ซางตาครู้ส ศาลเจ้าเกียนอันเกง มัสยิดต้นสน และมัสยิดบางหลวง
           
 องค์เจ้าแม่กวนอิมภายในศาลเจ้าเกียนอันเกง อันเป็นที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน
 นักเรียนศาสนาอิสลามกำลังละหมาดบูชาอัลลอฮ์ภายในมัสยิดต้นสน
 ศิลปะโมเสกรูปพระแม่มารีย์และพระเยซูเจ้าบนผนังบ้านหลังหนึ่งในชุมชนกุฎีจีน
             
 ซอยทางเข้าศาลเจ้าเกียนอันเกง ศูนย์รวมศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีน
          
           ศาสนิกชนของแต่ละศาสนาล้วนประกอบศาสนพิธีตามความเชื่อของตน แต่หากวันใดมีกิจกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย เช่น การจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ หรือการออกร้านขายของขึ้นชื่อในเทศกาลต่างๆ ชาวบ้านทั้ง ๖ ชุมชนจะเข้าร่วมโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือแบ่งศาสนา
            
              จึงกล่าวได้ว่า ในช่วงระยะเวลากว่า ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องศาสนา ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามศาสนาของผู้ใด ชาวบ้านทุกคนอาศัยร่วมกันอย่างสันติ เคารพความเชื่อความศรัทธาของผู้อื่น

ในยุคปัจจุบันที่บางคนใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างและเครื่องมือสำหรับการแบ่งแยกทำลายความสามัคคี จะมีใครบ้างที่รู้ว่ายังมีอีกหลายคนใช้ชีวิตท่ามกลางความแตกต่างอย่างกลมกลืนมานานหลายศตวรรษ